ตะกรุดหนังเสือ พยัคฆ์คำราม รุ่นครอบเศียรพระลักษณ์ 50 หลวงปู่กาหลง เขี้ยวแก้ว วัดเขาแหลม คงกระพันชาตรี มหาอำนาจ เป็นมหานิยมมหาเสน่ห์

จ้าวป่าที่ไม่มีผู้ใดมาเทียบรัศมี อำนาจแห่งตบะเดชะที่สะกดใจคนและสัตว์ทั้งปวงให้อยู่อำนาจ เกื้อหนุนผู้ครอบครองให้เป็นใหญ่เป็นโตมีพลังอำนาจบารมี

 

คาถาบูชา ตั้งนะโม 3 จบ ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ หลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า รวมไปถึงหลวงปู่กาหลง ผู้ปลุกเสกเป็นที่ตั้ง พร้อมกับกลั้นลมหายใจเอาไว้ เพื่อสำรวมสมาธิขณะที่ภาวนาคาถา ดังนี้

 

"อะพยัคโฆโส อะพยัคฆานัง อะพยัคฆะสมิงคัง ตมัตถัง ปกาเสนโต ตัวกู คือพยัคโฆ สัตถาอาหะ พยัคโฆจะวิริยะ อิมังคาถา มะหะอิติหัม ฮึ่ม-ฮึ่ม" (ภาวนาคาถา 7 จบ) เคล็ดการภาวนามีอยู่ว่าเมื่อถึงคาถา ท่อนสุดท้ายที่กล่าวว่า "อิติ" แล้วให้ผ่อนลมหายใจออกมาทางจมูกพร้อมทำเสียงคำรามของเสือ ให้เสียงออกมาทางจมูกว่า "หัม ฮึ่ม-ฮึ่ม" แล้วปลุกจิตให้กล้าหาญเข้มแข็ง เมื่อจะไปธุระในที่แห่งใดๆ ให้นำ ตะกรุดหนังเสือ จ้าวพยัคฆ์ ติดตัวไปด้วยจะทำให้มีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ในทางมหาอำนาจ คุ้มครองป้องกันภัยพิบัติอันตรายต่างๆ ป้องกันอาวุธทั้งปวงได้ และทำให้มีความเจริญรุ่งเรืองบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินทรัพย์สมบัติ มีโชคลาภหลั่งไหลมาเนืองนองไม่ขาดสาย เป็นที่รักใคร่เคารพนับถือของคนทั่วไป หากพกบูชาไปหาขุนนางผู้ใหญ่ หรือจะไปเทศนาที่ใดจะมีสง่าราศี เกื้อหนุนให้ผู้ครอบครองเป็นใหญ่เป็นโต มีพลังอำนาจบารมี

 

เสือในทางมายาศาสตร์ เป็นสัตว์ที่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง เป็นสัตว์ที่มีพลังทางวิญญาณและพลังอำนาจจิตระดับสูง ประกอบกับพละกำลังและเขี้ยวเล็บที่ธรรมชาติสร้างสรรค์แล้ว เสือจึงเป็นสัตว์ที่ดุร้ายที่สุดในโลก ยิ่งเสือที่เป็นจ่าฝูงซึ่งมีพลังอำนาจทางวิญญาณและพลังจิตในขั้นสูงนั้น เพียงแต่มันจ้องตาคนหรือสัตว์เท่านั้น จะทำให้หมดเรี่ยวแรงกลายเป็นเหยื่อให้มันฆ่าได้อย่างง่ายดาย

 

เสือสามารถปลดปล่อยพลังจิตภายในตัวของมันออกมาอย่างรุนแรง ซึ่งพลังจิตของเสือนั้นจะออกทางสายตาทั้งสองข้างปละที่หน้าผาก พลังจิตของเสือที่พุ่งออกมานั้นจะจู่โจมต่อจิตใจของเหยื่อหรือศัตรูทำให้ขวัญหนีดีฝ่อ ไม่มีสติ หมดเรี่ยวแรง ไม่สามารถบังคับบัญชาร่างกายของตนได้ ด้วยเหตุนี้เสือจึงมีอำนาจสะกดจิต สะกดใจสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ่ายแพ้ด้วยการจ้องมอง

 

ไม่เพียงเท่านี้ ตบะเสือนั้นยังอยู่ที่เสียงคำราม การคำรามของเสือเพียงครั้งเดียวก็สามารถสะกดป่าทั้งป่าให้ตกอยู่ในความเงียบ ความน่าสะพรึงกลัวอย่างบอกไม่ถูกเสียงคำรามของเสือจึงเป็นเสียงมหาอำนาจ ครูบาอาจารย์ผู้รจนาพระคาถาจึงมีการให้ออกเสียงคำรามของเสือต่อท้ายเพื่อเป็นการข่มขวัญศัตรูและเป็นอำนาจทางมายาศาสตร์ยิ่งออกเสียงได้ใกล้เคียงกับเสือมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้พระคาถาบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขลังมากขึ้นเท่านั้น เสียงคำรามของเสือ จะเรียกว่าเสียงบันลือสีหนาท คือเสียงที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ เสียงแห่งการประกาศชัยชนะ เนื่องจากเสือนั้นเป็นสัตว์ทรงพลังเป็นจ้าวแห่งป่าที่ไม่มีผู้ใดมาทัดเทียมได้ ไม่มีผู้ใดมาต่อกรกับพญาเสือจ้าวแห่งป่าได้ด้วยเหตุนี้แหละ เสียงคำรามแห่งพญาเสือจึงเป็นเสียงแห่งชัยชนะ เป็นเสียงแห่งมหาอำนาจที่สามารถสะกดป่าทั้งป่าให้ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งเจ้าพยัคฆ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ "หนังเสือ" เป็นของที่มีอำนาจอาถรรพณ์มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นมหาอำนาจดุร้ายสถิตอยู่ และด้วยความมีอำนาจบารมี และอาถรรพณ์ที่ทำให้เป็นที่เกรงขาม อีกทั้งยังสามารถชนะศัตรูได้ทั่วไปเช่นนี้ โบราณจารย์จึงได้สร้างเครื่องรางของขลังขึ้น โดยใช้คุณสมบัติและพลังอำนาจของเสือมาใช้ป้องกันตัวรวมทั้งเกื้อหนุนให้ผู้ครอบครองเป็นใหญ่เป็นโต ซึ่งในอดีตนั้นหลวงปู่กาหลงท่านโด่งดังในเรื่องการสักยันต์เสือเป็นอย่างมาก ผู้ที่เคยได้รับการสักเสือนั้นโดยมากจะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หรือหัวหน้าระดังสูงที่มีบริวารมาก และที่พิเศษไปกว่านั้นคือมักจะมีอำนาจบารมี มีความคงกระพันชั้นเลิศ ซึ่งเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่กาหลงเคยถูกรุมทำร้ายด้วยอาวุธด้วยชนิดต่างๆ ถึง 10 ต่อ 1 โดยอีกฝ่ายเป็นศิษย์ของอาจารย์ท่านหนึ่งแห่งจันทบุรี ปรากฏว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่กาหลงไม่มีบาดแผลใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนฝ่ายที่รุมทำร้ายทั้ง 10 คน กลับได้รับบาดแผลไปตามๆ กัน ทั้งนี้ศิษย์หลวงปู่กาหลงมีเพียงรอยสักยันต์เสือเท่านั้น

 

เพราะเหตุว่าตะกรุดหนังเสือที่จัดสร้างในครั้งนี้มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ แรงด้วย กฤติยาคม เสมือนหนึ่ง มีจิตวิญญาณสภาวะแห่งเสือสถิตอยู่แล้ว หากท่านที่เกิดศรัทธาอาจจะ เซ่นสังเวยบ้างก็ได้อาจจะทำเป็นประจำหรือไม่ก็ได้ ไม่มีกำหนดกฏเกณฑ์ใด ๆ หากต้องการเซ่นสังเวยบูชา ก็ให้กระทำในวันขึ้น 15 ค่ำ โดยใช้หมูดิบวางบนใบตอง พร้อมน้ำ 1 แก้ว จุดธูปปักที่ชิ้นหมู ภาวนาคาถา 7 จบ แล้วตั้งจิตอธิษฐานตามความปรารถนาเถิด

 

ตะกรุดหนังเสือ พยัคฆ์คำราม นี้สร้างจากหนังเสือใหญ่แท้ๆ จริงๆ นำมาตัดขนาด 3x3 นิ้ว เต็มๆ ซึ่งจะมีขนาดของหนังเสือใหญ่กว่าแบบใส่หลอดแก้วโดยทั่วไปมาก ส่วนตะกรุดตบะพยัคฆ์ เป็นตะกรุดที่สร้างจากหนังบริเวณหน้าผากเสือแท้ๆ ซึ่งหัวเสือ 1 หัว จะสร้างตะกรุดหน้าผากเสือนี้ได้เพียง 2 ดอก เท่านั้น คือส่วนลายหน้าผาก และส่วนหน้าผากที่ติดกับใบหู ดังนั้น ตะกรุดตบะพยัตฆ์นี้จะมี ๒ แบบ คือแบบที่มีลายหน้าผาก และแบบที่มีลายหูเสือติดมาด้วย และขนาดที่มีหลายหขาดไม่เท่ากันแล้วแต่ความโตของเสือ โดยเริ่มตั้งแต่ขนาด 6 นิ้วขึ้นไป หนังเสือนำมาลงอักขระเลขยันต์นั้น ลงตามตำรับยันต์สักพยัคฆ์คำรามมหาอำนาจสุดขลัง ของหลวงปู่กาหลง ในตัวตะกรุดหนังเสือ มีตะกรุดพญาเสือสมิง ด้านในเนื้อตะกั่วขอมพันปีอยู่ ด้านนอกหนังเสือถักเชือกคลุก ผงวิเศษลงรักปิดทองคำแท้ ด้านหัวและท้ายตะกรุดกำกับด้วยยันต์และหมายเลขโดยมีเหรียญกลมโค้ตยันต์และอักษรคำว่า "ลป.กาหลง" ห้อยอยู่ทุกดอก ดังนั้น ตะกรุดหนังเสือพยัคฆ์คำรามและตะกรุดหน้าผากเสือตบะพยัคฆ์นี้จึงถือได้ว่าเป็นตะกรุดที่มาตรฐาน รุ่นแรก ของจริงที่สร้างโดยหลวงปู่กาหลง วัดเขาแหลม ที่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์อันแฝงเร้นด้วยกฤติยาคมอาถรรพณ์ ที่เปี่ยมด้วยพุทธานุภาพอาคมขลังจากพระเถราจารย์อันหนึ่งแห่งประเทศ นามหลวงปู่กาหลง เขี้ยวแก้ว และพึงเก็บเป็นสมบัติมรดกล้ำค่าอันคู่ควรแก่การบูชาตัดตัวและเก็บรักษาเพื่อเป็นมิ่งมงคลแห่งตัวท่านเองสืบไป

 

สำหรับการประจุพุทธาคมปลุกเสก ตะกรุดหนังเสือ พยัคฆ์คำราม และตะกรุดตบะพยัคฆ์นั้น หลวงปู่กาหลงท่านเน้นปลุกเสกประจุแบบเดี่ยวๆ เพราะต้องมีเครื่องสังเวย เช่น บวงสรวงแก่วิญญาณเสือสมิงที่สถิตอยู่ในตะกรุด บางขณะที่ท่านกำลังเข้าสมาธิปลุกเสก บางครั้งก็เกิดเป็นภาพนิมิตของเสือส่งเสียงคำรามเดินวนไปมาอยู่โดยรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอดีตบริเวณวัดเขาแหลมก่อนที่หลวงปู่กาหลงที่จะมาสร้างวัดนั้น เคยเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าดุร้ายมาก่อน เช่นเสือ เป็นต้น แม้กระทั่งหลวงปู่กาหลงท่านสร้างวัดเสร็จแล้วนั้น ก็ยังเคยปรากฏร่างของเสือส่งเสียงคำรามเดินวนไปวนมาอยู่บ่อยๆ

 

นอกจากที่ท่านปลุกเสกเดี่ยวแล้วยังเข้าพิธีพุทธาภิเษกอีกหลายครั้งนับสิบพิธี เพราะตะกรุดหนังเสือชุดนี้จัดสร้างมาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2549 แต่มาเปิดให้บูชาตอนปลายปี พ.ศ. 2550 จึงนับได้ว่า ปลุกเสกมากกว่า 1 ปีเต็ม จัดเป็น ตะกรุดดี ตะกรุดขลังอีกรุ่นของ หลวงปู่กาหลง